ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันศุกร์ (14 ต.ค.) โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการคาดการณ์เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อไป และอาจจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ บวก 1.2%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.6% และดัชนี Nasdaq ลดลง 3.1%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวผันผวน โดยเปิดตลาดในแดนบวกก่อนทรุดตัวลง หลังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นในเดือนต.ค. แต่การคาดการณ์เกี่ยวกับเงินเฟ้อยังคงเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวขึ้น นอกจากนี้ ยอดค้าปลีกยังบ่งชี้ด้วยว่า ผู้บริโภคใช้จ่ายมากขึ้น
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 59.8 ในเดือนต.ค. จากระดับ 58.6 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 59.0 ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 5.1% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า โดยสูงกว่าระดับ 4.7% ที่มีการสำรวจในเดือนก.ย. ส่วนในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 2.9% โดยสูงกว่าระดับ 2.7% ที่มีการสำรวจในเดือนก.ย.
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค.
ทั้งนี้ หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและกลุ่มพลังงาน ร่วงลง 3.88% และ 3.71% ตามลำดับ
หุ้นโครเกอร์ ซึ่งเป็นเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ต ร่วง 7.32% หลังเปิดเผยว่า จะซื้อกิจการของบริษัทอัลเบิร์ตสัน คอมพานี ซึ่งเป็นคู่แข่งเป็นวงเงิน 2.46 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเทสลา ร่วงลง 7.55% หลังสื่อรายงานว่า เทสลาได้ระงับแผนการที่จะเริ่มการผลิตเซลล์แบตเตอรีที่โรงงานนอกกรุงเบอร์ลิน เนื่องจากเกิดปัญหาทางด้านเทคนิค
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด หลังเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2565 โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส, หุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปิดบวก 1.73%, 0.65% และ 2.06% ตามลำดับ
หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ บวก 0.63% หลังเปิดเผยผลประกอบการที่ดีกว่าคาด และปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรทั้งปี