“บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบในการวางแผนผิดพลาด ที่ทำให้ทีมต้องลุ้นแชมป์ไทยลีกถึงนัดสุดท้าย พร้อมชี้แจงเหตุผลที่ตัดสินใจส่งผู้เล่นชุดผสมลงแข่งขันในรายการเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก อีลิต (เอซีแอล) รอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ยอมรับวางแผนผิดพลาด
นายเนวิน เปิดใจว่า “ต้องบอกตรงๆ ว่าสอบตก เพราะจริงๆ เราต้องการเป็นแชมป์ไทยลีกก่อนจะไปเล่นเอซีแอล ที่ซาอุดีอาระเบีย แต่ด้วยความผิดพลาดในการวางแผน และสภาพของนักกีฬา รวมถึงผลการแข่งขัน ทำให้เราต้องมาลุ้นแชมป์ถึงนัดสุดท้าย จนห่วงหน้าพะวงหลัง”
ประธานปราสาทสายฟ้าแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกของแฟนบอลชาวไทยและแฟนบอลบุรีรัมย์บางส่วนที่สงสัยว่าทำไมทีมถึงไม่เล่นเต็มร้อยในรายการเอซีแอล ซึ่งเขาอธิบายว่า “เรารู้ดีว่าการที่ไปถึงรอบ 16 ทีมก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว และการที่เราไปรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้ มาเจอกับสภาพของความไม่พร้อม ที่เรายังไม่สามารถปิดจ็อบในไทยลีกได้ จึงจำเป็นต้องปรับไปตามแผน”
ให้ความสำคัญกับแชมป์ลีกเพื่ออนาคตของสโมสร
“บิ๊กเน” ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการคว้าแชมป์ไทยลีก โดยกล่าวว่า “ถ้าเราไม่ได้แชมป์ไทยลีก เราต้องไปเพลย์ออฟ และก็ไม่รู้จะได้เล่นเอซีแอล อีลิตอีกหรือเปล่า” เขาชี้ให้เห็นถึงเป้าหมายสำคัญของสโมสรคือการเป็นแชมป์สมัยที่ 10 และเป็นแชมป์ 4 สมัยติดต่อกัน ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจทางประวัติศาสตร์ของสโมสร
นอกจากนี้ นายเนวินยังเน้นถึงความสำคัญของการได้เป็นแชมป์ลีกในแง่ของการวางแผนตัวผู้เล่นสำหรับฤดูกาลหน้า ทั้งในรายการเอซีแอล ช้อปปี้คัพ และไทยลีก ซึ่งจะมีความได้เปรียบมากกว่าการไม่ได้แชมป์
ผลประโยชน์ทางการเงินที่ต้องพิจารณา
ประธานสโมสรยังได้เปิดเผยถึงมุมมองด้านการเงินที่มีผลต่อการตัดสินใจ โดยกล่าวว่า “การเป็นแชมป์ไทยลีก แม้จะได้เงินรางวัลแค่ 10 ล้าน แต่การได้เล่นในเอซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม มันได้อีก 8 แสนเหรียญสหรัฐฯ เท่ากับว่าจะมีรายได้ประมาณ 40-50 ล้านบาท ในการเตรียมผู้เล่นเพื่อต่อสู้ในประเทศไทยและต่างประเทศ เพราะฉะนั้นการตัดสินใจทุกอย่างมันมีเหตุและมีผล”
ความท้าทายจากโปรแกรมที่แน่นและข้อจำกัดของทีม
นายเนวินยังยอมรับว่า “ปีนี้ยอมรับว่าตั้งแต่ทำสโมสรมา ก็ไม่เคยเล่นจำนวนแมตช์มากเท่านี้” และเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายการคว้าแชมป์อีก 3 ถ้วย ด้วยขนาดของทีมที่มีอยู่ในปัจจุบัน “ต้องยอมรับว่าทีมเรามันเล็กไป ปีหน้าต้องใหญ่กว่านี้”
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า สโมสรจำเป็นต้องมีผู้เล่นที่สามารถทดแทนกันได้ “ถ้าทีมมีผู้เล่นสัก 30 คน ที่จะทดแทนกันแล้วไม่ทำให้คุณภาพทีมตกลงไป ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับ 5 ถ้วย” แต่ปัญหาในปีนี้คือ ทั้งนักเตะต่างชาติและนักเตะไทยที่มาทดแทนยังไม่แข็งแรงพอ
เรื่องของงบประมาณและคุณภาพทีม
นายเนวิน ได้กล่าวขอบคุณคำวิจารณ์ของแฟนบอลที่ตำหนิหรือตัดพ้อต่อว่าเรื่องของการแข่งขันในรอบ 8 ทีมของเอซีแอล แต่เขาก็ได้ชี้แจงถึงความเป็นจริงว่า “แม้จะส่งชุดใหญ่ไปก็ยังเชื่อว่าไม่มีทางเอาชนะ อัล อาห์ลี ได้ เพราะคุณภาพของนักเตะและงบประมาณต่างกันมหาศาล”
“ผู้เล่นของเขามูลค่า 6-7 พันล้าน ของเรา 4-5 ร้อยล้าน เราต้องยอมรับความจริง และอยู่กับมันให้ได้ แต่ปีหน้าเราจะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม เรารู้แล้วว่าต้องแก้ตรงไหน เพิ่มตรงไหน เพื่อให้อยู่บนเส้นทาง 5 แชมป์ และลุ้นเข้ารอบลึกในเอซีแอลอีกครั้ง”
มองไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น
“บิ๊กเน” ได้ทิ้งท้ายว่า การที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สามารถไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายของเอซีแอล พร้อมกับคว้าแชมป์ไทยลีก และยังอยู่ในเส้นทางลุ้นอีก 3 ถ้วย ถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมสำหรับทีมจากอาเซียน
และในฤดูกาลหน้า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับทีมให้มีความสมบูรณ์และมั่นคงยิ่งกว่านี้ เพื่อให้การแข่งขันในทุกรายการเป็นไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยไม่ต้องเผชิญกับปัญหาเช่นนี้อีก
บทเรียนจากฤดูกาลนี้จะเป็นแนวทางสำคัญในการพัฒนาทีมให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งในแง่ของการเพิ่มจำนวนผู้เล่นที่มีคุณภาพ การวางแผนโปรแกรมการแข่งขัน และการบริหารจัดการทรัพยากรของสโมสรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษามาตรฐานความเป็นทีมชั้นนำของประเทศและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป