การสั่งไม่ฟ้องที่สะท้อนความผิดพลาดของกระบวนการยุติธรรมไทย
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 อธิบดีอัยการภาค 6 มีคำสั่งไม่ฟ้อง ดร.พอล แชมเบอร์ส นักวิชาการชาวอเมริกันจากสถานประชาคมอาเซียนศึกษา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งถูกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 3 แจ้งความดำเนินคดีในข้อหาตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ คำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ ดร.พอล ต้องเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมที่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและหน้าที่การงานอย่างร้ายแรงมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน
ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดร.พอล ถูกจับกุมตามหมายจับของศาลพิษณุโลกและถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำจังหวัดพิษณุโลกเป็นเวลาสองคืน ก่อนได้รับการประกันตัวในวงเงิน 300,000 บาท พร้อมเงื่อนไขให้มารายงานตัวทุก 30 วันและต้องติดกำไลอิเล็กทรอนิกส์ (EM) ตลอดเวลา นอกจากนี้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ยังเพิกถอนวีซ่าทำงานของเขาโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด รวมทั้งมีการตรวจค้นสถานที่ทำงานและยึดอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ของเขาอีกด้วย
กระแสตอบรับและผลกระทบในระดับนานาชาติ
การดำเนินคดีกับ ดร.พอล ก่อให้เกิดปฏิกิริยาจากนานาชาติและส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาอย่างมีนัยสำคัญ แทมมี บรูซ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์แสดงความตกใจและย้ำถึงความกังวลต่อการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศไทย ขณะที่สมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (APSA) ส่งหนังสือถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และอัยการสูงสุดของไทย เรียกร้องให้เพิกถอนการฟ้องร้องโดยอ้างถึงหลักสิทธิมนุษยชน กฎหมายระหว่างประเทศ และเสรีภาพทางวิชาการ
ส.ส. ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยว่าการจับกุม ดร.พอล ส่งผลกระทบต่อการเจรจาเรื่องมาตรการภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าสหรัฐฯ เลื่อนการเจรจาออกไปเนื่องจากมองว่าไทยใกล้ชิดกับจีนมากเกินไป และการฟ้องร้อง ดร.พอล ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่ง หลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาขอบคุณอธิบดีอัยการภาค 6 โดยระบุว่าเป็นการช่วยลดปัจจัยลบในการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
ข้อบกพร่องของกระบวนการดำเนินคดี
จากการชี้แจงของนายทหารกองทัพภาคที่ 3 ต่อคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร พบว่าการดำเนินคดีมีข้อบกพร่องหลายประการ ต้นเหตุของเรื่องนี้คือ กอ.รมน. ภาค 3 นำบทโปรยภาษาอังกฤษจากสูจิบัตรงานสัมมนาออนไลน์เรื่องการโยกย้ายและแต่งตั้งนายทหาร-ตำรวจระดับสูงของไทย ซึ่งจัดโดยสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ของสิงคโปร์ ที่แปลโดยนายอัษฎางค์ ยมนาค มาเป็นหลักฐานในการแจ้งความ ทั้งที่ ดร.พอล ไม่ได้เป็นผู้เขียนหรือเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าว แต่เป็นเพียงผู้รับเชิญให้พูดในงานสัมมนาเท่านั้น
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธาน กมธ.ทหารฯ วิจารณ์ว่า กอ.รมน. ภาค 3 “ลุแก่อำนาจ” และดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากการดำเนินคดีดังกล่าวจำเป็นต้องมีมติจากคณะรัฐมนตรีผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน อีกทั้งยังเกิดปัญหาการถ่วงดุลอำนาจในทางปฏิบัติ เมื่อหน่วยงานอื่น เช่น ตำรวจ เกิดความเกรงใจ กอ.รมน. จนไม่กล้าตรวจสอบความน่าเชื่อถือของหลักฐานตามกฎหมาย
การเรียกร้องความรับผิดชอบ
นายวิโรจน์ประกาศว่าทาง กมธ.ทหารฯ จะรวบรวมข้อมูลและหลักฐานเพื่อส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบและไต่สวนว่าเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ภาค 3, เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิษณุโลก และ ตม. บกพร่องต่อหน้าที่หรือไม่ และจะไม่ปล่อยให้กรณีนี้ผ่านไปอย่างไม่มีการตรวจสอบ “กรณีนี้จะปล่อยให้ผ่านอย่างเนียน ๆ ไม่ได้” เขาย้ำ
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นว่าการจะเอาผิดกับผู้แจ้งความหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเรื่องยาก เพราะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเจตนากลั่นแกล้งจริง ซึ่งผู้แจ้งความอาจอ้างได้ว่าตนเชื่อโดยสุจริตว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด
ความคาดหวังในการแก้ไขปัญหาระดับนโยบาย
นายวิโรจน์ยังชี้ให้เห็นว่ากรณีนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะคำสั่งฝ่ายบริหารที่ 14078 ที่ลงนามโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเป็นมาตรการช่วยเหลือชาวอเมริกันเมื่อถูกจับกุมคุมขังอย่างไม่ถูกต้อง ดังนั้น การแก้ไขปัญหาจึงไม่ใช่แค่การสั่งไม่ฟ้องและปล่อยตัว ดร.พอล เท่านั้น แต่ต้องมีมาตรการอื่นที่สร้างความเชื่อมั่นว่าพลเมืองชาวอเมริกันจะไม่ถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมอีกในอนาคต
บทส่งท้าย
กรณีของ ดร.พอล แชมเบอร์ส สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในและกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งส่งผลกระทบไม่เพียงแต่ต่อชีวิตของปัจเจกบุคคล แต่ยังกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมีการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ชัดเจนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต คำสั่งไม่ฟ้องของอธิบดีอัยการภาค 6 อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาเชิงระบบที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกรณีนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องทบทวนบทบาทและการใช้อำนาจของตน เพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยจะดำเนินไปอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง